งานเข้าปริวาสกรรม
ณ วัดเมืองสรวงเก่า ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
ระหว่างวันที่ ๔ - ๑๓ มกราคม ๒๕๕๖
ปริวาสกรรม
คำว่า “ปริวาส” นี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล
เป็นชื่อของสังฆกรรม ประเภทหนึ่ง ที่สงฆ์จะพึงกระทำเพื่อการอยู่ชดใช้
เรียกสามัญว่า “การอยู่กรรม” เรียกรวมกันว่า “ปริวาสกรรม”
เป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับภิกษุที่ต้องอาบัติ ”สังฆาทิเสส” แล้วปกปิดไว้ ทั้งที่เกิดโดยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม จึงต้องประพฤติเพื่อเป็นการลงโทษตัวเองให้ครบ
เท่ากับจำนวนวันที่ปกปิดอาบัติไว้ เพื่อให้พ้นมลทินและเพื่อความบริสุทธิ์ในการบำเพ็ญเพียรในทางจิตของพระภิกษุสงฆ์ต่อไป
๑.
ปฏิจฉันนปริวาส (สำหรับผู้ที่ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้)
๒.
สโมธานปริวาส (สำหรับผู้ที่ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง
ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง)
๓.
สุทธันตปริวาส (สำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้าง)
แต่ยังมีปริวาสอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งเป็นปริวาสสำหรับนักบวชนอกศาสนาที่ต้องประพฤติก่อนที่จะบวชเข้ามาอยู่ในพระธรรมวินัย
เรียกว่า “ติตถิยปริวาส” ซึ่งจัดเป็น “อปฏิจฉันนปริวาส” (สำหรับผู้ที่ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้)
การอยู่ปริวาสกรรมนั้น
เจาะจงไว้บุคคล ๒ จำพวก คือ
• สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้ว
แต่ต้องครุกาบัติ
• สำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์
ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้
เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ต้อง “ครุกาบัติ” (ต้องโทษ) สังฆาทิเสสเข้า
จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสเพื่อให้หลุดพ้นจากความมัวหมอง
ตามเงื่อนไขทางพระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์
(วิ.จุล.๖/๘๔/๑๐๖)
ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์
หรือพวกเดียรถีย์เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์จำนวนมากที่ไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ที่เรียกว่า “เดียรถีย์”
แต่ภายหลังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะนับถือพุทธศาสนาด้วยการจะขอบวชหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน ปริวาสประเภทนี้เรียกว่า “ติตถิยปริวาส”
“อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ” ส่วนเดียรถีย์ผู้ไม่เคยบวชในพระพุทธศาสนานี้
การอยู่ปริวาส ๔ เดือน
ท่านเรียกว่า “อัปปฏิจฉันนปริวาส” ฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔)
ขั้นตอนการปฏิบัติตนเพื่อการออกจากอาบัติ
สังฆาทิเสส นั้น เรียกว่า “การประพฤติวุฏฐานวิธี”แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้
๑. อยู่ประพฤติปริวาส
๒. ประพฤติมานัตอย่างน้อย ๖ ราตรี
๓. ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา
(อาบัติใหม่ที่ต้องโทษเพิ่มขึ้นอีก)
๔. พระสงฆ์ ๒๐ รูป ให้อัพภาน
ในการทำสังฆกรรมตามขั้นตอนของ
การประพฤติวุฏฐานวิธี นั้น ต้องประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ได้แก่
ฝ่ายคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (พระพี่เลี้ยง) ที่เป็นผู้ดูแลความประพฤติของสงฆ์ผู้ขอปริวาส ให้เป็นไปตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด, และอีกฝ่ายหนึ่งคือพระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ พระลูกกรรม ซึ่งเป็นสงฆ์ที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
สำหรับขั้นตอนของการอยู่ปริวาส
หรือ “การอยู่กรรม” นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ
ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร ซึ่งมีลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทแตกต่างกันไป
ลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภท
ปฏิฉันนปริวาส
(อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้)
เมื่อขอปริวาสประเภทนี้
จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้
ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องอยู่ประพฤติปริวาสนานเท่านั้น
โดยไม่ประมวลอาบัติใดๆ
สโมธานปริวาส
(สำหรับผู้ที่ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง)
ปริวาสประเภทนี้ต้องอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานที่สุด
ตามการประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกันหรือ ปฏิกัสสนา ซึ่งการเพิ่มโทษนี้ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาสเสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสต้องล่าช้าออกไปเท่านั้นเอง
สำหรับปริวาสประเภทนี้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ได้จัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เหตุที่ว่าเมื่อพวกเดียรถีย์มีความศรัทธาเลื่อมใสและต้องการที่จะบวชเข้ามาใน
พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็จะอนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่เพื่อประพฤติอัปปฏิฉันนปริวาสเป็นเวลา ๔ เดือน แต่การอยู่ปริวาสประเภทนี้ใช้อยู่แต่ในสมัยของพระพุทธองค์เท่านั้น และได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
สุทธันตปริวาส เป็นปริวาสที่นิยมจัดอยู่ในปัจจุบัน เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะสงฆ์ที่จะให้อยู่ประพฤติเป็นเวลาเท่าใด จะมีความเห็นว่าให้อยู่เพียงราตรี
หนึ่งหรืออยู่ถึง ๒-๓ ปี ก็ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก ทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสมีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจมากที่สุด ภิกษุที่จะขอปริวาสเพียงกล่าวกับคณะสงฆ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาสจนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติเหล่านั้น” (วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒)
วันที่ต้องอาบัติ ซึ่งอาจจะขอปริวาสประมาณ ๑ เดือนก็รู้สึกว่าควรถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ แต่เนื่องจากวิธีนี้ไม่มีเวลาที่แน่นอนและเกิดความยุ่งยาก จึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติขณะที่อยู่ประพฤติปริวาส ๓ กรณีด้วยกัน คือ สหวาโส (การอยู่ร่วม), วิปวาโส (การอยู่ปราศ) และ อนาโรจนา (การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ)
ภิกษุที่ประพฤติปริวาสและทำผิดเงื่อนไขก็จะถือว่าการอยู่ปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้ ซี่งทางวินัย เรียกว่า “รัตติเฉท” (การขาดแห่งราตรี) ซึ่งจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อีกเรื่องหนึ่งที่ภิกษุควรระวังสำหรับการอยู่ปริวาส คือ “วัตตเภท” (ความแตกต่างแห่งวัตร) เป็นความแตกต่างแห่งข้อปฏิบัติในขณะที่อยู่ในปริวาส อันทำให้วัตรมัวหมองด่างพร้อย
การละเลยวัตร ละเลยหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อพุทธบัญญัติโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ภิกษุให้อุปัฏฐากเข้ามารับใช้ในขณะอยู่ปริวาส หรือ เข้านอนร่วมชายเดียวกันกับภิกษุรูปอื่น หรือ นั่งบนอาสนะที่สูงกว่าอาสนะของคณะสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์กรรม เป็นต้น
สหวาโส (การอยู่ร่วม)
การอยู่ร่วมนี้ หมายถึง การอยู่ร่วมระหว่างภิกษุที่อยู่ปริวาสด้วยกัน หรืออยู่ร่วมกับพระอาจารย์กรรมในที่มุงเดียวกัน ทั้งนี้ท่านก็เพ่งเจาะจงเฉพาะอาการ “นอน”
เช่น
น้ำท่วม ฝนตกหนัก ลมแรง หรือต้องปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็อนุญาตให้อยู่ในที่มุงบังนั้นได้
แต่ทั้งนี้ ต้องไม่มีการทอดกายนอน และเมื่อจวนสว่าง
ภิกษุต้องออกไปให้พ้นจากที่มุงบังนั้น หรือที่เรียกว่า “ออกไปรับอรุณ”
วิปวาโส (การอยู่ปราศ)หมายถึง ห้ามภิกษุอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม โดยที่ภิกษุที่อยู่ประพฤติปริวาสนั้นจะอยู่กันเองตามลำพังไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างน้อยต้องมีอาจารย์กรรมในคณะสงฆ์ ๑ รูป (๔ รูป สำหรับการอยู่มานัต)
เพื่อเป็นการคุ้มกรรมไว้ แต่ทั้งนี้ตามวินัยได้กำหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ภิกษุซึ่งเป็นพระลูกกรรมผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้น จะต้องอยู่ไม่ไกลเกิน ๒ ช่วง “เลฑฑฺบาต”
(ระยะที่คนอายุปานกลางขว้างก้อนดินให้ตกเป็นระยะทาง ๒ ช่วงต่อกัน) โดยมีจุดที่คณะสงฆ์พระอาจารย์อยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลาง แล้ววัดออกไปให้ถึงภิกษุผู้ที่ปักกลดอยู่องค์แรกที่ใกล้ที่สุด ส่วนภิกษุรูปอื่นก็ถือว่าปักกลดกันต่อๆ กัน เสมือนหนึ่งอยู่ในระยะหัตถบาส
ซึ่งการกำหนดขอบเขตนี้ต้องขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์ที่เป็นอาจารย์กรรมท่านชี้และอนุญาตให้อยู่ได้ ซึ่งรวมถึงภิกษุที่ต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องมีอาจารย์กรรมไปเฝ้าไข้ด้วยตลอดเวลา อย่าให้เกินขอบเขตที่กำหนดไว้
อนาโรจนา (การไม่บอกวัตร)
การที่ภิกษุที่อยู่ประพฤติปริวาสโดยไม่บอกวัตร หรือไม่บอกอาการที่ตนประพฤติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมในสำนักที่ตนอยู่ปริวาสนั้น เพราะตามหลักพระวินัยจะต้องบอกวัตรแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพียงครั้งเดียวก็อยู่จนครบ ๓ ราตรีได้
ส่วนลำดับของการบอกวัตร มีดังนี้
• สมาทานวัตร • การบอกวัตร • การเก็บวัตร
การสมาทานวัตรการสมาทานวัตร มักนิยมสมาทานหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการปฏิบัติธรรมประจำวันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าปรก และเมื่อถึงเวลาก่อนทำวัตรเช้าก็สมาทานครั้งหนึ่ง ทั้งนี้การสมาทานเช่นนี้ไม่มีในหลักสูตรกำหนดให้ต้องสมาทานทั้งเช้าและเย็น
ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้กล่าวไว้มีใจความว่า ห้ามสมาทานวัตรซ้อนวัตร หมายถึง ตราบใดที่ยังมิได้เก็บวัตรก็ไม่ต้องสมาทานอีก (ไม่เหมือนการ “บอกวัตร” ซึ่งจะบอกวันละกี่ครั้งก็ได้)
“การบอกวัตร” นั้น ไม่จำเป็นต้องบอกทุกวัน (แต่สามารถบอกได้ทุกวัน วันละกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีข้อกำหนด) แต่การบอกวัตรนั้นต้องบอกแก่อาจารย์กรรมทุกรูป และตราบใดที่ยังไม่ได้เก็บวัตรก็ต้องบอกวัตรแก่พระอาคันตุกะด้วยไม่ว่าจะเห็นเวลาไหน
การไม่บอกวัตรถือเป็น “รัตติเฉท” และถ้ามีเจตนาไม่บอกก็เป็น “อาบัติทุกกฎ” ส่วนข้อกำหนดสำหรับการบอกวัตรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับมติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเป็นผู้กำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติ
การเก็บวัตร
“การเก็บวัตร” ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งมักจะทำการเก็บวัตรในเวลากลางวัน เพราะเมื่อมีการเก็บวัตร
(พักวัตรไว้ระยะหนึ่ง) ก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง บอกวัตรบ่อยๆ
เมื่อมีพระอาคันตุกะที่แวะผ่านเข้ามา
และเพื่อประโยชน์ในการที่คณะสงฆ์ทำสังฆกรรมเมื่อมีสงฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวินัยกำหนดด้วย
มานัตมานัต หมายถึง “การนับราตรี” ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เช่น อยู่ประวาสต้องอยู่ให้ครบ ๓ ราตรีเป็นอย่างน้อย หรือตามที่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสนั้นก็จะได้ชื่อว่า “มานัตตารหภิกษุ” แปลว่า ภิกษุผู้ควรแก่มานัต
ส่วนการเข้ามานัต นั้น ภิกษุต้องประพฤติมานัต เป็นเวลา ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย และต้องอยู่ในเงื่อนไขข้อปฏิบัติคล้ายกับการนับราตรีของการอยู่ปริวาส ซึ่งมีดังนี้
ไม่มีข้อแตกต่างจากข้อกำหนดของการอยู่ปริวาส
วิปปวาโส (การอยู่ปราศ) ภิกษุที่ประพฤติอยู่ในมานัตนี้จะต้องอยู่ภายในขอบเขต
โดยมีคณะสงฆ์อาจารย์กรรมอย่างน้อย ๔ รูป (อยู่ปริวาส ใช้อาจารย์กรรมเพียง ๑ รูป)เป็นผู้คุ้มกรรมไว้ เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าภิกษุซึ่งอาพาธนอนรักษาตัวอยู่ก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ไปเฝ้าไข้เช่นกัน
การประพฤติมานัต จำเป็นต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้ (การอยู่ปริวาส บอกวัตรครั้งเดียวอยู่ได้ ๓ วัน โดยไม่ต้องบอกอีก)
สำหรับการนับราตรีในการประพฤติมานัต มี ๔ ประเภท ดังนี้
๑.
อัปปฏิจฉันนมานัต เป็นการมานัตโดยที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส สามารถขอมานัตได้เลย
(ไม่รวมพวกเดียรถีย์ ที่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน)
๒.
ปฏิฉันนมานัต เป็นมานัตที่ให้แก่ภิกษุที่ปิดหรือไม่ปิดอาบัติไว้ก็ตาม
๓.
ปักขมานัต เป็นมานัตที่ให้แก่ภิกษุณีที่ปิดหรือไม่ปิดอาบัติไว้ก็ตาม เป็นเวลา ๑๕
ราตรีเท่านั้น
๔. สโมธานมานัต เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นอานัตที่มีไว้เพื่ออาบัตที่ประมวลเข้าด้วยกัน อันเนื่องจากการสโมธานปริวาสนั้น
หลังจากที่ภิกษุได้ชำระสิกขาบทจนตนพ้นจากความมัวหมอง โดยผ่านขั้นตอนประพฤติปริวาส อย่างน้อย ๓ ราตรี และ ผ่านการประพฤติมานัต ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งถือว่าได้ผ่าน
ขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธี ตามที่พระวินัยกำหนด ก็ถือว่าภิกษุนั้นไม่มีความมัวหมองหรือด่างพร้อยติดตัวแล้ว พระวินัยกำหนดให้คณะสงฆ์เรียกภิกษุผู้นั้นเข้าหมู่ได้ การเรียกเข้าหมู่นี้ เรียกว่า “อัพภาน”
โดยการใช้สงฆ์สวด จำนวน ๒๐ รูปขึ้นไป เมื่อคณะสงฆ์ทำสังฆกรรมนี้แล้ว ภิกษุผู้นั้นถือว่าเป็น “ปริสุทโธ” คือเป็นภิกษุผู้บริสุทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น