เรียนรู้ทุกชนิดแต่ควรคิดก่อนใช้

เรียนรู้ทุกชนิดแต่ควรคิดก่อนใช้
คติพจน์ประจำใจ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

หนอนภูปริวาสเมืองสรวง 2556

งานเข้าปริวาสกรรม  
วัดเมืองสรวงเก่า ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด 
ระหว่างวันที่ ๔ - ๑๓ มกราคม ๒๕๕๖ 
 ปริวาสกรรม
คำว่า “ปริวาส” นี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล เป็นชื่อของสังฆกรรม ประเภทหนึ่ง ที่สงฆ์จะพึงกระทำเพื่อการอยู่ชดใช้ เรียกสามัญว่า 

การอยู่กรรมเรียกรวมกันว่า ปริวาสกรรม
 เป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับภิกษุที่ต้องอาบัติ สังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ทั้งที่เกิดโดยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ และอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม จึงต้องประพฤติเพื่อเป็นการลงโทษตัวเองให้ครบ
 เท่ากับจำนวนวันที่ปกปิดอาบัติไว้ เพื่อให้พ้นมลทินและเพื่อความบริสุทธิ์ในการบำเพ็ญเพียรในทางจิตของพระภิกษุสงฆ์ต่อไป
 ปริวาส มี ๓ ประเภท คือ
๑. ปฏิจฉันนปริวาส (สำหรับผู้ที่ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้)
๒. สโมธานปริวาส (สำหรับผู้ที่ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง)
๓. สุทธันตปริวาส (สำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้าง) แต่ยังมีปริวาสอีกแบบหนึ่ง
 ซึ่งเป็นปริวาสสำหรับนักบวชนอกศาสนาที่ต้องประพฤติก่อนที่จะบวชเข้ามาอยู่ในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวาสซึ่งจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวาส” (สำหรับผู้ที่ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้)
การอยู่ปริวาสกรรมนั้น เจาะจงไว้บุคคล ๒ จำพวก คือ
 สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้ว แต่ต้องครุกาบัติ
สำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์
 ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้ เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ต้อง ครุกาบัติ” (ต้องโทษ) สังฆาทิเสสเข้า จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสเพื่อให้หลุดพ้นจากความมัวหมอง ตามเงื่อนไขทางพระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์
(วิ.จุล.๖/๘๔/๑๐๖)
 ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์จำนวนมากที่ไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ที่เรียกว่า เดียรถีย์” 
 แต่ภายหลังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะนับถือพุทธศาสนาด้วยการจะขอบวชหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน ปริวาสประเภทนี้เรียกว่า ติตถิยปริวาส
 แต่เดิมผู้ที่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น หมายถึง อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น, แต่ต่อมาได้แก้ไขให้หมายถึง
อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯส่วนเดียรถีย์ผู้ไม่เคยบวชในพระพุทธศาสนานี้ การอยู่ปริวาส ๔ เดือน
ท่านเรียกว่า อัปปฏิจฉันนปริวาสฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔) 
 ขั้นตอนการปฏิบัติตนเพื่อการออกจากอาบัติ สังฆาทิเสส นั้น เรียกว่า การประพฤติวุฏฐานวิธีแบ่งเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ๆ  ดังนี้
๑. อยู่ประพฤติปริวาส
๒. ประพฤติมานัตอย่างน้อย ๖ ราตรี
๓. ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (อาบัติใหม่ที่ต้องโทษเพิ่มขึ้นอีก)
๔. พระสงฆ์ ๒๐ รูป ให้อัพภาน
 ในการทำสังฆกรรมตามขั้นตอนของ การประพฤติวุฏฐานวิธี นั้น ต้องประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (พระพี่เลี้ยง) ที่เป็นผู้ดูแลความประพฤติของสงฆ์
 ผู้ขอปริวาส ให้เป็นไปตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด, และอีกฝ่ายหนึ่งคือพระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ พระลูกกรรม ซึ่งเป็นสงฆ์ที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
 ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส
สำหรับขั้นตอนของการอยู่ปริวาส หรือ การอยู่กรรมนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร ซึ่งมีลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทแตกต่างกันไป
ลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภท
 ปฏิฉันนปริวาส (อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้)
เมื่อขอปริวาสประเภทนี้ จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้ ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องอยู่ประพฤติปริวาสนานเท่านั้น โดยไม่ประมวลอาบัติใดๆ
สโมธานปริวาส (สำหรับผู้ที่ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง)
 ปริวาสประเภทนี้ต้องอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานที่สุด ตามการประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกัน
 ถ้าในระหว่างที่ภิกษุกำลังอยู่ระหว่างประพฤติปริวาสนั้น ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้ำเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มโทษ ซึ่งทางวินัยเรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา
 หรือ ปฏิกัสสนา ซึ่งการเพิ่มโทษนี้ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาสเสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสต้องล่าช้าออกไปเท่านั้นเอง
 อัปปฏิฉันนปริวาส
สำหรับปริวาสประเภทนี้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ได้จัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เหตุที่ว่าเมื่อพวกเดียรถีย์มีความศรัทธาเลื่อมใสและต้องการที่จะบวชเข้ามาใน
 พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็จะอนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่เพื่อประพฤติอัปปฏิฉันนปริวาสเป็นเวลา ๔ เดือน แต่การอยู่ปริวาสประเภทนี้ใช้อยู่แต่ในสมัยของพระพุทธองค์เท่านั้น และได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
 สุทธันตปริวาส   
สุทธันตปริวาส เป็นปริวาสที่นิยมจัดอยู่ในปัจจุบัน เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะสงฆ์ที่จะให้อยู่ประพฤติเป็นเวลาเท่าใด จะมีความเห็นว่าให้อยู่เพียงราตรี
 หนึ่งหรืออยู่ถึง ๒-๓ ปี ก็ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก ทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสมีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจมากที่สุด ภิกษุที่จะขอปริวาสเพียงกล่าวกับคณะสงฆ์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
 ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาสจนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติเหล่านั้น” (วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒)
 เนื่องจากปริวาสประเภทนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนดังกล่าว อยู่ไปเรื่อยๆ (ตามคำคณะสงฆ์) จนกว่าจะบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้แบ่งการประพฤติ สุทธันตปริวาส นี้ออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ
 ๑. จุฬสุทธันตปริวาส (สุทธันตปริวาสอย่างย่อย) เป็นปริวาสของภิกษุผู้ต้องอาบัติหลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจำจำนวนครั้งที่อาบัติ และจำจำนวนวันได้บ้าง จึงขออยู่เพื่อประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ ซึ่งโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้คณะสงฆ์จะให้อยู่ ๓ ราตรีเป็นเกณฑ์ น้อยกว่านี้ไม่ได้ แต่มากกว่านี้ไม่เป็นไร
 ๒. มหาสุทธันตปริวาส (สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่) ใช้สำหรับภิกษุผู้ต้องอาบัติหลายคราวแต่ปกปิดไว้ และจำจำนวนอาบัติไม่ได้ จำจำนวนวันและจำนวนครั้งที่อาบัติไม่ได้ จึงใช้วิธีการกะประมาณ
 วันที่ต้องอาบัติ ซึ่งอาจจะขอปริวาสประมาณ ๑ เดือนก็รู้สึกว่าควรถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ แต่เนื่องจากวิธีนี้ไม่มีเวลาที่แน่นอนและเกิดความยุ่งยาก จึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
 เงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาส
การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติขณะที่อยู่ประพฤติปริวาส ๓ กรณีด้วยกัน คือ สหวาโส (การอยู่ร่วม), วิปวาโส (การอยู่ปราศ) และ อนาโรจนา (การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ)
 ภิกษุที่ประพฤติปริวาสและทำผิดเงื่อนไขก็จะถือว่าการอยู่ปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้ ซี่งทางวินัย เรียกว่า รัตติเฉท” (การขาดแห่งราตรี) ซึ่งจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
 อีกเรื่องหนึ่งที่ภิกษุควรระวังสำหรับการอยู่ปริวาส คือ วัตตเภท” (ความแตกต่างแห่งวัตร) เป็นความแตกต่างแห่งข้อปฏิบัติในขณะที่อยู่ในปริวาส อันทำให้วัตรมัวหมองด่างพร้อย
 การละเลยวัตร ละเลยหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อพุทธบัญญัติโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ภิกษุให้อุปัฏฐากเข้ามารับใช้ในขณะอยู่ปริวาส หรือ เข้านอนร่วมชายเดียวกันกับภิกษุรูปอื่น หรือ นั่งบนอาสนะที่สูงกว่าอาสนะของคณะสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์กรรม เป็นต้น
 สหวาโส (การอยู่ร่วม)
การอยู่ร่วมนี้ หมายถึง การอยู่ร่วมระหว่างภิกษุที่อยู่ปริวาสด้วยกัน หรืออยู่ร่วมกับพระอาจารย์กรรมในที่มุงเดียวกัน ทั้งนี้ท่านก็เพ่งเจาะจงเฉพาะอาการ นอน” 
 ในที่มุงบังหรือหลังคาเดียวกันเป็นสำคัญ และคำว่าที่มุงบังนั้น ท่านหมายเอาแต่วัตถุที่เกิดขึ้นโดยที่มนุษย์ใช้เครื่องมือสร้างขึ้นมาเท่านั้น เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ภายในเต็นท์ ฯลฯ แต่ไม่รวมถึงที่มุงบังโดยธรรมชาติ เช่น ใต้ร่มไม้ เป็นต้น แต่ถ้าในระหว่างอยู่ปริวาสนั้นเกิดภัยธรรมชาติ
เช่น น้ำท่วม ฝนตกหนัก ลมแรง หรือต้องปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็อนุญาตให้อยู่ในที่มุงบังนั้นได้ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่มีการทอดกายนอน และเมื่อจวนสว่าง ภิกษุต้องออกไปให้พ้นจากที่มุงบังนั้น หรือที่เรียกว่า ออกไปรับอรุณ
 วิปวาโส (การอยู่ปราศ)
หมายถึง ห้ามภิกษุอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม โดยที่ภิกษุที่อยู่ประพฤติปริวาสนั้นจะอยู่กันเองตามลำพังไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างน้อยต้องมีอาจารย์กรรมในคณะสงฆ์ ๑ รูป (๔ รูป สำหรับการอยู่มานัต) 
 เพื่อเป็นการคุ้มกรรมไว้ แต่ทั้งนี้ตามวินัยได้กำหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ภิกษุซึ่งเป็นพระลูกกรรมผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้น จะต้องอยู่ไม่ไกลเกิน ๒ ช่วง เลฑฑฺบาต
 (ระยะที่คนอายุปานกลางขว้างก้อนดินให้ตกเป็นระยะทาง ๒ ช่วงต่อกัน) โดยมีจุดที่คณะสงฆ์พระอาจารย์อยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลาง แล้ววัดออกไปให้ถึงภิกษุผู้ที่ปักกลดอยู่องค์แรกที่ใกล้ที่สุด ส่วนภิกษุรูปอื่นก็ถือว่าปักกลดกันต่อๆ กัน เสมือนหนึ่งอยู่ในระยะหัตถบาส
 ซึ่งการกำหนดขอบเขตนี้ต้องขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์ที่เป็นอาจารย์กรรมท่านชี้และอนุญาตให้อยู่ได้ ซึ่งรวมถึงภิกษุที่ต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องมีอาจารย์กรรมไปเฝ้าไข้ด้วยตลอดเวลา อย่าให้เกินขอบเขตที่กำหนดไว้
 อนาโรจนา (การไม่บอกวัตร)
การที่ภิกษุที่อยู่ประพฤติปริวาสโดยไม่บอกวัตร หรือไม่บอกอาการที่ตนประพฤติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมในสำนักที่ตนอยู่ปริวาสนั้น เพราะตามหลักพระวินัยจะต้องบอกวัตรแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพียงครั้งเดียวก็อยู่จนครบ ๓ ราตรีได้
 ส่วนลำดับของการบอกวัตร มีดังนี้
สมาทานวัตร      การบอกวัตร        การเก็บวัตร
 การสมาทานวัตร
      การสมาทานวัตร มักนิยมสมาทานหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการปฏิบัติธรรมประจำวันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าปรก และเมื่อถึงเวลาก่อนทำวัตรเช้าก็สมาทานครั้งหนึ่ง ทั้งนี้การสมาทานเช่นนี้ไม่มีในหลักสูตรกำหนดให้ต้องสมาทานทั้งเช้าและเย็น
 ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้กล่าวไว้มีใจความว่า ห้ามสมาทานวัตรซ้อนวัตร หมายถึง ตราบใดที่ยังมิได้เก็บวัตรก็ไม่ต้องสมาทานอีก (ไม่เหมือนการ บอกวัตรซึ่งจะบอกวันละกี่ครั้งก็ได้)
 การบอกวัตร
การบอกวัตร นั้น ไม่จำเป็นต้องบอกทุกวัน (แต่สามารถบอกได้ทุกวัน วันละกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีข้อกำหนด) แต่การบอกวัตรนั้นต้องบอกแก่อาจารย์กรรมทุกรูป และตราบใดที่ยังไม่ได้เก็บวัตรก็ต้องบอกวัตรแก่พระอาคันตุกะด้วยไม่ว่าจะเห็นเวลาไหน 
 การไม่บอกวัตรถือเป็น รัตติเฉทและถ้ามีเจตนาไม่บอกก็เป็น อาบัติทุกกฎส่วนข้อกำหนดสำหรับการบอกวัตรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับมติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเป็นผู้กำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติ
 การเก็บวัตร
               การเก็บวัตร ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมักจะทำการเก็บวัตรในเวลากลางวัน เพราะเมื่อมีการเก็บวัตร (พักวัตรไว้ระยะหนึ่ง) ก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง บอกวัตรบ่อยๆ เมื่อมีพระอาคันตุกะที่แวะผ่านเข้ามา และเพื่อประโยชน์ในการที่คณะสงฆ์ทำสังฆกรรมเมื่อมีสงฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวินัยกำหนดด้วย
 มานัต
มานัต หมายถึง การนับราตรีซึ่งเป็นเงื่อนไขของการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เช่น อยู่ประวาสต้องอยู่ให้ครบ ๓ ราตรีเป็นอย่างน้อย หรือตามที่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสนั้นก็จะได้ชื่อว่า มานัตตารหภิกษุแปลว่า ภิกษุผู้ควรแก่มานัต
 ส่วนการเข้ามานัต นั้น ภิกษุต้องประพฤติมานัต เป็นเวลา ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย และต้องอยู่ในเงื่อนไขข้อปฏิบัติคล้ายกับการนับราตรีของการอยู่ปริวาส ซึ่งมีดังนี้
 สหวาโห (การอยู่ร่วม)
ไม่มีข้อแตกต่างจากข้อกำหนดของการอยู่ปริวาส
วิปปวาโส (การอยู่ปราศ)   ภิกษุที่ประพฤติอยู่ในมานัตนี้จะต้องอยู่ภายในขอบเขต โดยมีคณะสงฆ์อาจารย์กรรมอย่างน้อย ๔ รูป (อยู่ปริวาส ใช้อาจารย์กรรมเพียง ๑ รูป)
 เป็นผู้คุ้มกรรมไว้ เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าภิกษุซึ่งอาพาธนอนรักษาตัวอยู่ก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ไปเฝ้าไข้เช่นกัน
 อนาโรจนา (การไม่บอกวัตร)
การประพฤติมานัต จำเป็นต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้ (การอยู่ปริวาส บอกวัตรครั้งเดียวอยู่ได้ ๓ วัน โดยไม่ต้องบอกอีก) 
 สำหรับการนับราตรีในการประพฤติมานัต มี ๔ ประเภท ดังนี้
๑. อัปปฏิจฉันนมานัต เป็นการมานัตโดยที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส สามารถขอมานัตได้เลย (ไม่รวมพวกเดียรถีย์ ที่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน)              
      ๒. ปฏิฉันนมานัต เป็นมานัตที่ให้แก่ภิกษุที่ปิดหรือไม่ปิดอาบัติไว้ก็ตาม
      ๓. ปักขมานัต เป็นมานัตที่ให้แก่ภิกษุณีที่ปิดหรือไม่ปิดอาบัติไว้ก็ตาม เป็นเวลา ๑๕ ราตรีเท่านั้น

 ๔. สโมธานมานัต เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นอานัตที่มีไว้เพื่ออาบัตที่ประมวลเข้าด้วยกัน อันเนื่องจากการสโมธานปริวาสนั้น
 อัพภาน (เรียกเข้าหมู่)
               หลังจากที่ภิกษุได้ชำระสิกขาบทจนตนพ้นจากความมัวหมอง โดยผ่านขั้นตอนประพฤติปริวาส อย่างน้อย ๓ ราตรี และ ผ่านการประพฤติมานัต ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งถือว่าได้ผ่าน
 ขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธี ตามที่พระวินัยกำหนด ก็ถือว่าภิกษุนั้นไม่มีความมัวหมองหรือด่างพร้อยติดตัวแล้ว พระวินัยกำหนดให้คณะสงฆ์เรียกภิกษุผู้นั้นเข้าหมู่ได้ การเรียกเข้าหมู่นี้ เรียกว่า อัพภาน
 โดยการใช้สงฆ์สวด จำนวน ๒๐ รูปขึ้นไป เมื่อคณะสงฆ์ทำสังฆกรรมนี้แล้ว ภิกษุผู้นั้นถือว่าเป็น ปริสุทโธคือเป็นภิกษุผู้บริสุทธิ์

































































































































































































































































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น