วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
เกร็ดความรู้
การเลี้ยวผึ้งพันธุ์หรือผึ้งอิตาเลี่ยน
ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
ผู้ที่สนใจที่จะเลี้ยงผึ้งนั้น ควรจะทราบข้อมูลและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้งให้เข้าใจเสียก่อนแล้วจึงค่อยเริ่มฝึกหัดเลี้ยงด้วยตนเองอย่างน้อย
2 - 3 รัง เพื่อหาประสบการณ์และความชำนาญรายละเอียดต่าง ๆ
ตลอดจนวิธีการจัดการภายในรังผึ้งที่เหมาะสมแล้ว การเลี้ยงผึ้งก็ไม่ใช่ของยาก
แต่ควรจะต้องมีการเตรียมการเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้งให้พร้อม ดังนี้คือ
1.1
ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้ง
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับผึ้งที่จะเลี้ยง
1.1.1 ความรู้ทางด้านชีววิทยาและพฤติกรรมของผึ้งพันธุ์
ได้แก่ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของผึ้ง วงจรชีวิต การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของวัยผึ้ง
ชนิดช่วงอายุต่าง ๆ รวมทั้งความเป็นอยู่ นิสัย และสภาพสังคมภายในรังผึ้ง
การจัดระบบโดยธรรมชาติภายในรังผึ้ง การหาอาหาร การป้องกันรัง การเลี้ยงดูตัวอ่อน
รวมทั้งความต้องการของผึ้งในสภาพแวดล้อม ต่าง ๆ ด้วย
การฝึกอบรมเกษตรกรหลักสูตรการเลี้ยงผึ้งพันธุ์
1.1.2 ความรู้เกี่ยวกับการจัดการดูแลผึ้ง
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเกี่ยวกับความสำเร็จในการเลี้ยงผึ้ง
(รายละเอียดดูเรื่องการจัดการดูแลในการเลี้ยงผึ้งพันธุ์)
1.1.3 ความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ที่เป็นแหล่งอาหารของผึ้ง
ได้แก่ความรู้เกี่ยวกับต้นไม้และดอกไม้ที่จะเป็นแหล่งอาหาร
(น้ำหวานดอกไม้และเกสรดอกไม้) ของผึ้ง การบานและช่วงเวลาการบานของดอกไม้
ตลอดจนทำเลและบริเวณที่เป็นแหล่งของพืชพันธุ์
1.1.4 ความรู้เกี่ยวกับโรคและศัตรูของผึ้ง
1.2 ทุนสำหรับดำเนินการ
การใช้ทุนเพื่อจัดทำรังผึ้ง
ต้องใช้ด้วยความประหยัด มี คุณภาพ
หรือซื้อจากแหล่งที่ผลิตรังผึ้งพันธุ์โดยตรงเป็นการดีที่สุด
เพราะมาตรฐานขนาดของรังและคอนผึ้งมีความสำคัญมาก
ถ้าอุปกรณ์ทุกชิ้นได้มาตรฐานเดี่ยวกันหมด
เวลาจัดการภายในรังผึ้งในภายหลังก็จะทำได้สะดวกและไม่เป็นปัญหา
จะต้องมีทุนสำรองเพื่อใช้จ่ายดังนี้
1.2.1 ค่าพันธุ์ผึ้ง
1.2.2 ค่าทำรังผึ้ง คอนผึ้ง แผ่นรังเทียม ฐานรัง ฝารัง
1.2.3 ค่าอุปกรณ์การเลี้ยงผึ้ง เช่น หมวกตาข่าย เหล็กงัดรัง
เครื่องมือพ่นควัน ฯลฯ
1.2.4 ค่าน้ำตาล และวัสดุอาหารเสริม
เพื่อจะเลี้ยงผึ้งในบางช่วงของฤดูกาลที่ขาดแคลนอาหารผึ้งตามธรรมชาติ
1.2.5 ค่าใช้จ่ายสำรองอื่น ๆ ในระหว่างการเลี้ยงผึ้ง เช่น
ค่ายาป้องกันกำจัดไรศัตรูพืช และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
1.3
แหล่งที่จะซื้อผึ้งมาเริ่มดำเนินการ
1.3.1 ไปเยี่ยมรังผึ้งของฟาร์มต่าง ๆ
ผึ้งที่มีการเลี้ยงและเอาใจใส่ที่ดี ผึ้งของ ฟาร์มนี้จะแข็งแรงและมีคุณภาพดี
พร้อมกันนี้สอบถามราคาแล้วเปรียบเทียบกับฟาร์มอื่น ๆ
1.3.2 สังเกตผึ้งในฟาร์ม อันดับแรกดูปากรังว่าสะอาดไหม
ถ้าผึ้งรังไหนสุข ภาพดีปากรังเข้าออกจะสะอาด ขนาดผึ้งมีตัวโตสม่ำเสมอ
ผึ้งมีความคึกคักไม่หงอยเหงา
การเลือกซื้อพันธุ์ผึ้งต้องตรวจสอบความแข็งแรงของรังผึ้ง
1.3.3 ขอดูคอนผึ้งตรวจดูความสม่ำเสมอของการวางไข่ ดักแด้
เต็มคอนหรือ ไม่ ถ้าแม่รังผึ้งดี การวางไข่จะเป็นวงกว้างเต็มคอน จะตัวโต อกกว้าง
และวางไขทั่วคอน
1.3.4 เลือกซื้อรังผึ้งที่นางพญาสาว
1.3.5 เลือกซื้อรังผึ้งที่ไม่เป็นโรค
1.3.6 เลือกซื้อรังผึ้งที่ไม่มีตัวไรวารัวและไรทรอปิลิเลปส์
ค่าพันธุ์ผึ้ง
1.3.7 ค่าทำรังผึ้ง คอนผึ้ง แผ่นรังเทียม ฐานรัง ฝารัง
1.3.8 ค่าอุปกรณ์การเลี้ยงผึ้ง เช่น หมวกตาข่าย เหล็กงัดรัง
เครื่องมือพ่นควัน ฯลฯ
1.3.9 ค่าน้ำตาล และวัสดุอาหารเสริม เพื่อจะเลี้ยงผึ้งในบางช่วงของฤดูกาลที่
ขาดแคลนอาหารผึ้งตามธรรมชาติ
1.3.10 ค่าใช้จ่ายสำรองอื่น ๆ ในระหว่างการเลี้ยงผึ้ง เช่น
ค่ายาป้องกันกำจัดไร ศัตรูพืช และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
1.4 อุปกรณ์ต่าง ๆ
สำหรับการเลี้ยงผึ้ง
วัสดุอุปกรณ์ในการเลี้ยงผึ้งอื่น
ๆ ที่ จำเป็น นอกจากตัวผึ้งและนางพญาผึ้งแล้ว
ผู้เลี้ยงผึ้งจะต้องใช้ในการเลี้ยงผึ้งเพื่อให้การเลี้ยงผึ้งประสบความสำเร็จได้
โดยเรียงลำดับความสำคัญมีรายละเอียดดังนี้
วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554
งานประเพณีวัฒนธรรม
ประเพณีการทอดเทียน
นี้เป็นประเพณีเก่าแก่ของบคนอีสาน ซึ่งได้สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เพื่อเป็นประเพณีอันดีงามของชาวอีสาน
จากการที่ได้ค้นคว้าคำว่า
"ทอดเทียน"
น่าจะมาจากคำสองคำคือ ทอด น.
ระยะจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่ง
ส่วนคำว่า เทียน น. เครื่องตามไฟที่ฟั่นที่หล่อด้วยขี้ผึ่งหรือไขเป็นต้น มีไส้ตรงใจกลาง
จากการนำความหมายของคำสองคำนั้นอาจจะหมายถึง
การนำต้นเทียนที่มีอยู่ของแต่ละหมู่บ้านหรือวัดนำไปบูชาจากวัดหนึ่งถึงอีกวัดหนึ่งเพื่อเป็นการเยี่ยมยามถามข่าว สารทุกของชาวบ้านแต่ละหมู่บ้าน
ประเพณีทอดเทียน
ของชาวอีสานนี้ที่สืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วคนที่สืบทอดมา โดยที่หมู่บ้านหนึ่งจะต้องนำต้นเทียนนำไปบูชาอีกวัดหนึ่ง
ซึ่งอาจจะอยู่คนละหมู่บ้านแล้วก็ทำพิธีทางพุทธศาสนา
ประเพณีนี้นิยมทำในช่วงเข้าพรรษาเมื่อมีการทำพิธีทางพุทธศาสนาเสร็จแล้วจะเป็นกิจกรรมของชาวบ้าน
คือการร้องสารภัญญะ เพื่อต้อนรับแล้วก็จะเปลี่ยนกันร้องไห้ครบทุกหมู่บ้านที่ได้ไปในครั้งนั้น
การทอดเทียนยังเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สร้างความสามัคคีแก่ชาวบ้านและสร้างความสัมพันธ์ของแต่ละหมู่บ้านได้เป้นอย่างดี
บทความนี้มีข้อบกพร่องอยู่มากเพระผู้เขียนไม่ได้ค้นคว้ามากมายแต่ค้นคว้า
จากหลักฐานหรือหนังสือที่มีอยู่แต่การหาหลักฐานทางประเพณีการทอดเทียนนี้หายากมาก ถ้าผิดบกพร่องอย่างไรก็ขออภัยด้วย
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
หนอนภูพัฒนาคุณธรรม
ประโยชน์การนั่งสมาธิ
บางครั้งที่เราเจอปัญหา หรืออะไรมาสะกิดใจเพียงนิดเดียว
ก็เกิดอาการควบคุมจิตใจไม่ได้ เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มีเรื่องรบกวนไปเสียหมด
นั่นเพราะ
ไม่เคยรับการบำบัดทางจิต หรือลองฝึกสมาธิมาก่อน หลายคนที่เคยลองฝึกจิต
หรือฝึกสมาธิ จะสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และยังมีสติ
ทำอะไรด้วยความไม่ประมาทด้วย
มาลองฝึกสมาธิเบื้องต้นกันดู ซึ่งโดยปกติแล้ว "สมาธิ" มีหลายประเภท
แต่สมาธิที่ฝึกง่ายที่สุด ประหยัดเวลา และได้ผลที่สุดตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติ
ก็คือ "อานาปานสติ" หรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก
ที่เราส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วนั่นเอง
โดยหลักการ
ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
ก่อนฝึกสมาธิ
ควรอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างมือ
ล้างเท้าก่อน เพื่อให้ตัวรู้สึกสบายมากที่สุด เมื่อร่างกายสงบ
จิตใจจะสงบได้ง่ายขึ้น
หาสถานที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่านจอแจ
อากาศถ่ายเท เย็นสบาย เพื่อให้เข้าถึงสมาธิได้เร็วมากขึ้น
ห่วงหน้าพะวงหลัง
อย่าตั้งใจมากเกินไป
ว่าจะต้องให้ได้ขั้นนั้น ขั้นนี้ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเคร่งเครียดมากขึ้น
จิตใจจะพะวงไปแต่อนาคต ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ ณ ปัจจุบัน
ขณะฝึกสมาธิ ควรปฏิบัติตนดังนี้
1. กราบบูชาพระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา
ครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ
2.ควรนั่งทำสมาธิในท่าขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ขวาจรดนิ้วหัวแม่มือซ้าย วางไว้บนตัก หลังตรง ศีรษะตรง
ไม่ควรนั่งพิง เพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย กรณีเป็นคนป่วย
หรือคนที่ไม่สามารถนั่งท่าขัดสมาธิได้ ก็สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนได้
จากนั้นทอดตาลงต่ำ อย่าเกร็ง เพราะจะทำให้ร่างกายปวดเมื่อย แล้วค่อย ๆ หลับตาลง
3.ส่งจิตไปให้ทั่วร่างกาย ว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดเกร็งอยู่หรือไม่
แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้น พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ลึก ๆ มี
"สติ" อยู่กับลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก
4.เมื่อเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ ควรใช้เวลาแต่น้อยก่อน เช่น 5-15 นาที
จากนั้นเมื่อฝึกบ่อย ๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มระยะเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อย ๆ ปรับตัวตาม หากรู้สึกปวดขา หรือเป็นเหน็บ
ให้พยายามอดทนให้มากที่สุด หากทนไม่ไหวจึงค่อยขยับ แต่ควรขยับให้น้อยที่สุด เพราะการขยับแต่ละครั้งจะทำให้จิตใจกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้
แต่ถ้าหากอดทนจนอาการปวด หรือเป็นเหน็บเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการเหล่านั้นจะหายไปเอง
แล้วจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่
5. หากเกิดเสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนพูด เสียงสิ่งของกระทบกัน
ให้ถือว่าไม่ได้ยินอะไร และอย่าไปใส่ใจกับมัน
หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าภาพเหล่านั้นไม่หายไป
ให้ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาว ๆ แล้วถอนสมาธิออกมา เมื่อจิตใจมั่นคงเป็นปกติแล้ว
จึงค่อยทำสมาธิใหม่อีกครั้ง โดยควรสวดมนต์ไหว้พระ
อธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองการปฏิบัติของเราด้วย
7.เมื่อจะออกจากสมาธิ ให้สังเกตดูว่า ใจของเราเป็นอย่างไร
แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณของเรา
แล้วหายใจยาว ๆ ลึก สัก 3 รอบ ก่อนค่อย ๆ ถอนสมาธิช้า ๆ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ประโยชน์จากการฝึกสมาธิ
2.ช่วยพัฒนาให้มีบุคลิกภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า สง่าผ่าเผย
มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ จิตใจได้ดีขึ้น
เหมาะสมกับกาละเทศะ
3.ผู้ฝึกสมาธิบ่อย ๆ จะมีความจำดีขึ้น มีการพินิจพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ
รอบคอบมากขึ้น ทำให้เกิดปัญญาในการทำสิ่งใด ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่าเรียน
และการทำงานดีขึ้น
4.ช่วยคลายเครียด และลดความเครียดที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้
เมื่อเราไม่เครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารทำให้เกิดความสุข ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
เพราะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค และยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย
5.ทำให้จิตใจอ่อนโยนขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เกิดความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
6.ระงับอารมณ์โมโห อารมณ์ร้ายต่าง ๆ ได้
เพราะการฝึกสมาธิช่วยให้จิตสงบนิ่งมากขึ้น และเมื่อจิตสงบนิ่งแล้วจะมีพลังยับยั้งการกระทำทางกาย
วาจา ใจได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)