โครงการธรรมยาตรา
“ธรรมสัญจร ตามรอบบุญ
ด้วยรอบธรรม”
มหามิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บ้านท่าเยี่ยม ตำบลนิเวศน์
อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
ห้องเรียนร้อยเอ็ด
ได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมการ และโครงการธรรมยาตรา “ธรรมสัญจร
ตามรอบบุญ ด้วยรอบธรรม”
ตามเส้นทางสุวรรณภูมิ สู่
มจร. บ้านท่าเยี่ยม หมู่ที่ ๑๔
ตำบลนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี
ร้อยเอ็ด
ระหว่างวันที่ ๗ – ๑๗
ธันวาคม ๒๕๕๕
ประวัติความเป็นมาโครงการธรรมยาตรา
ธรรมยาตราในความหมายที่เป็นปฏิบัติการทางสังคมบนพื้นฐานของศาสนธรรม
ดูเหมือนจะเริ่มต้นเป็นครั้งแรก ณ ประเทศกัมพูชา โดยการนำของสมเด็จพระมหาโฆษนันทะ
เมื่อปี ๒๕๓๕
ธรรมยาตราครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะนำสันติภาพและและสมานฉันท์คืนสู่ประเทศกัมพูชาซึ่งบอบช้ำจากภัยสงครามมาเป็นเวลานานกว่า
๒ ทศวรรษ แม้สนธิสัญญาสันติภาพจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในกัมพูชา
แต่การสู้รบก็ยังมีอยู่ประปราย
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากยังไม่มีความหวังว่าสันติภาพจะเป็นจริงได้ “ธรรมยาตราเพื่อสันติภาพและสมานฉันท์ในกัมพูชา” ซึ่งจัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีในช่วงหน้าร้อน
และฝ่าเดินไปยังจุดที่ยังมีการปะทะกันอยู่
ได้จุดประกายแห่งความหวังและความกล้าในหมู่ประชาชน เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ในรอบหลายทศวรรษที่คนเล็กคนน้อยได้ตระหนักว่าสันติภาพก็อยู่ในมือของเขาด้วยเหมือนกัน
หาได้ขึ้นอยู่กับนักการเมืองหรือกองกำลังติดอาวุธฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่
ธรรมยาตราที่กัมพูชา ได้พิสูจน์ว่า การเดินอย่างสงบ
โดยพร้อมที่จะเผชิญกับความยากลำบาก และด้วยใจที่เชื่อมั่นในอานุภาพแห่งธรรม
สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ อย่างน้อยก็ในใจของสามัญชนคนธรรมดา
ซึ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด ไม่กี่ปีต่อมาธรรมยาตราในกัมพูชา
ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดธรรมยาตราขึ้นในประเทศไทย เริ่มจาก “ธรรมยาตราเพื่อสันติภาพและชีวิต” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสอดรับกับการเดินทางข้ามทวีปจากโปแลนด์ไปญี่ปุ่น
โดยผ่านประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีแห่งการยุติสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี ๒๕๓๘
แต่ธรรมยาตราที่จัดได้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด ก็คือ “ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา” ซึ่งเริ่มเมื่อปี ๒๕๓๙
แม้ประเด็นหรือจุดมุ่งหมายจะแตกต่างจากธรรมยาตราที่กัมพูชา
แต่รูปแบบและจิตวิญญาณของการเดินนั้นถือได้ว่าสืบเนื่องกัน คือเป็นการเดินอย่างสงบ
เพื่อเป็นสื่อนำธรรมะไปยังทุกหนแห่งที่เดินผ่าน ขณะเดียวกันก็อาศัยการเดินนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาตนเองไปด้วย
ความเปลี่ยนแปลงในสังคมนั้นแยกไม่ออกจากความเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง
และทั้งหมดนี้จะต้องเริ่มจากความเปลี่ยนแปลงในใจของผู้เดินเป็นประการแรก
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาเริ่มต้นจากกิจกรรมทัศนศึกษาของพระนวกะจำนวนหนึ่ง
ซึ่งได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาของทะเลสาบสงขลา
และตระหนักว่าทางแก้นั้นน่าจะมาจากการร่วมแรงร่วมใจในหมู่ชาวบ้านรอบทะเลสาบเป็นประการสำคัญมิใช่ถูกกำหนดโดยข้าราชการและนักการเมือง ซึ่งสัมผัสกับปัญหาอย่างผิวเผิน
แต่การที่ชาวบ้านจะร่วมมือกันได้ ก็ต้องเริ่มจากการมองเห็นปัญหาอย่างรอบด้าน
ไม่โทษซึ่งกันและกันว่าเป็นสาเหตุของปัญหา และที่สำคัญคืออาศัย
ทุนทางสังคมที่มีอยู่แล้ว เป็นพลังขับเคลื่อนการทำงาน
หนึ่งในบรรดาทุนทางสังคมของชุมชน ได้แก่ ศาสนา ซึ่งรวมถึงพระภิกษุสงฆ์ ด้วย
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาเป็นความพยายามที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์รอบทะเลสาบ
โดยผู้ร่วมเดินนั้นเป็นเสมือนผู้นำข่าวสารจากชุมชนต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้แก่กันและกัน
และเป็นโอกาสที่จะได้ถกเถียงและแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ผู้จัดและผู้ร่วมเดิน
ไม่มีใครที่คิดว่าตนมีคำตอบให้แก่ชาวบ้าน
ขณะเดียวกันก็ไม่คิดว่าชุมชนใดชุมชนหนึ่งจะมีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทะเลสาบสงขลา แต่เราเชื่อว่าการเรียนรู้ข้อมูลและการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างชาวบ้านที่อยู่รอบทะเลสาบสงขลา
เป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่ทางออกที่เป็นประโยชน์กับทุกชุมชน
ดังนั้นการจัดเวทีชาวบ้านตามชุมชนที่คณะธรรมยาตราพำนักระหว่างทางจึงเป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่ง
การเดินนั้นเปิดโอกาสให้ทุกคนในคณะธรรมยาตราได้สัมผัสกับสภาพความเป็นจริงของทะเลสาบสงขลาอย่างถี่ถ้วนด้วยตัวเอง
สภาพความเป็นจริงดังกล่าวมีทั้งส่วนที่เป็นปัญหาทางนิเวศวิทยา และปัญหาทางสังคม ซึ่งกำลังรุกล้ำเข้าไปในชุมชน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีส่วนที่เป็นพลังของชุมชน
ซึ่งยากจะสัมผัสได้หากนั่งรถยนต์
จำเพาะผู้ที่เดินเท้าเท่านั้นที่จะซาบซึ้งน้ำใจไมตรีของผู้คนสองข้างทาง
ที่เอื้อเฟื้อน้ำและอาหาร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
แต่ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือการเดินเปิดโอกาสให้ทุกคนในคณะธรรมยาตราได้รู้จักตนเองอย่างลุ่มลึก
เมื่อเดินอย่างสงบและมีสติ เราย่อมเห็นความรู้สึกนึกคิดของตัวเองแจ่มแจ้งขึ้น รวมทั้งสังเกตเห็น
ความแปรเปลี่ยนภายในอย่างชัดเจน และเมื่อเผชิญกับความทุกข์ขณะเดิน
ไม่ว่า ความร้อน ความเหนื่อย ความเมื่อย
สติที่พัฒนาระหว่างเดินจะช่วยรักษาใจไม่ให้ทุกข์ไปกับกายได้
หลายคนได้ค้นพบว่าแม้กายจะร้อน แต่ใจไม่ร้อนก็ได้ แม้กายจะเหนื่อย
แต่ใจไม่เหนื่อยก็ได้ ความรู้และความสามารถเช่นนี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการนั่งรถอย่างสะดวกสบาย
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา เป็นความพยายามที่จะเชื่อมกิจกรรมเพื่อสังคมและการปฏิบัติธรรมเข้าด้วยกัน
การทำงานเพื่อประโยชน์ท่านและประโยชน์ตนมิจำเป็นต้องแยกจากกัน
แต่สิ่งที่เราอยากเห็นมากกว่านั้นคือ ความพยายามที่จะเชื่อมการพัฒนาสังคมและศาสนธรรมเข้าด้วยกัน
การพัฒนาสังคมนั้นไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากศาสนธรรม อันที่จริงแล้ว
การแยกขาดจากกันย่อมทำให้การพัฒนาสังคมนั้นกลายเป็นมิจฉาพัฒนาด้วยซ้ำ
ดังเห็นได้จากปัจจุบัน จะว่าไปแล้ว ปัญหาของทะเลสาบสงขลาในปัจจุบันเกิดจากมิจฉาพัฒนา ที่เอาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ
ที่วัดเป็นตัวเลขหรือ“เม็ดเงิน”ได้ เป็นตัวตั้ง ยิ่งกว่านั้นยังคำนึงแต่ประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
ขณะที่คนส่วนใหญ่ต้องตกเป็นฝ่ายแบกรับภาระอย่างไม่รู้จับจบสิ้น
เป็นเวลา ๘
ปีที่มีการจัดธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน จนถึงปี ๒๕๔๗
จึงได้ยุติไว้ชั่วคราว
แม้ยังไม่มีกำหนดว่าธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาจะเริ่มอีกเมื่อใด แต่บทเรียนและประสบการณ์ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวตลอด ๘
ปีที่ผ่านมาก็มากพอที่จะมีการศึกษาและประเมินกิจกรรมดังกล่าวอย่างจริงจัง
เป็นที่น่ายินดีที่อาจารย์ประสาท มีแต้ม แห่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตหาดใหญ่
มีฉันทะและอุตสาหะในการศึกษาธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาอย่างรอบด้าน
โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดการพัฒนากระแสหลักที่ครอบงำสังคมไทยในปัจจุบัน
ทำให้เห็นว่าธรรมยาตรามิใช่กิจกรรมเพื่อฟื้นฟูทะเลสาบสงขลาเท่านั้นแต่มีนัยยะที่กว้างกว่านั้น
ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มิได้เกี่ยวข้องกับทะเลสาบสงขลา
แต่ห่วงใยในสภาพสังคมไทยโดยรวม หรือสภาพชุมชนท้องถิ่นของตน
ควรกล่าวด้วยว่า ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา
ได้เป็นแบบอย่างให้ชุมชนในหลายพื้นที่จัดกิจกรรมทำนองเดียวกันเพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของตน
เช่น ธรรมยาตราเพื่อชีวิตและธรรมชาติลุ่มน้ำลำประทาว (จ.ชัยภูมิ)
ซึ่งจัดติดต่อกันเป็นปีที่ ๗ แล้ว และธรรมชาติยาตราเพื่อแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี
นอกจากนั้นยังมีการจัดธรรมยาตราอีกหลายลักษณะ ที่เชื่อมโยงปฏิบัติการทางสังคมเข้ากับการปฏิบัติธรรม มองในแง่นี้
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาย่อมมีคุณูปการมิใช่น้อยต่อสังคมไทย
โครงการธรรมยาตรา
“ธรรมสัญจร ตามรอบบุญ
ด้วยรอบธรรม”
บ้านท่าเยี่ยม ตำบลนิเวศน์
อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
ห้องเรียนร้อยเอ็ด
ได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมการ และโครงการธรรมยาตรา “ธรรมสัญจร
ตามรอบบุญ ด้วยรอบธรรม”
ตามเส้นทางสุวรรณภูมิ สู่
มจร. บ้านท่าเยี่ยม หมู่ที่ ๑๔
ระหว่างวันที่ ๗ – ๑๗
ธันวาคม ๒๕๕๕
พระไพบูลย์
ภูริชโย
จากวัดพระธรรมกาย
ร่วมบริจาค ๓,๐๐๐ บาท
ขอเชิญร่วมบำเพ็ญกุศลถวาย
พระครูประโชติสมณวัตร (บุญเลิศ
จนฺทโชโต)
อายุ ๖๘ พรรษา ๔๘
น.ธ.เอก ป.ธ.๓ พธ.บ.
อดีตเจ้าคณะอำเภอเมืองสรวง
/ เจ้าอาวาสวัดท่าสว่าง
โดยมีพระเดชพระคุณพระครูปริยัติธรรม
รักษาการเจ้าคณะอำเภอเมืองสรวง
เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ด้วย พระครูประโชติสมณวัตร (บุญเลิศ จนฺทโชโต) อายุ ๖๘ พรรษา ๔๘ น.ธ.เอกป.ธ.๓, พธ.บ.
อดีตเจ้าคณะอำเภอเมืองสรวง และเจ้าอาวาสวัดท่าสว่าง บ้านหนองผือ-โนนค้อ ได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
คณะสงฆ์จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชน
ขอเชิญร่วมบำเพ็ญกุศลถวาย
ติดต่อได้ที่ พระมหาหนูพร จารุวณฺโณ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองสรวง/รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าสว่าง บ้านหนองผือ-โนนค้อ
โทร. ๐๘๗-๒๑๕๔๑๔๑ E-mail. Nupon2511@gmail.com
ณ ศาลาการเปรียญวัดท่าสว่าง บ้านหนองผือ
อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น