ประจำปีการศึกษา
๒๕๕๕ ดังนี้
สนามสอบอำเภอเมืองสรวง สนามสอบวัดเมืองสรวงเก่า ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
โดย
พระครูปริยัติธรรมกิจ
ประธานหน่วยสอบธรรมสนามหลวง
พระมหาหนูพร จารุวณฺโณ
เลขานุการกองงานเลขานุการ/กรรมการกลางจังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวง
สนามสอบอำเภอเมืองสรวง สนามสอบวัดเมืองสรวงเก่า ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
โดย
พระครูปริยัติธรรมกิจ
ประธานหน่วยสอบธรรมสนามหลวง
พระมหาหนูพร จารุวณฺโณ
เลขานุการกองงานเลขานุการ/กรรมการกลางจังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวง
กำหนดสอบวันที่
๒๔ - ๒๕ - ๒๖ - ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕
(ตรงกับวันพุธ- พฤหัสบดี- ศุกร์-เสาร์ ขึ้น ๙ - ๑๐ - ๑๑ -
๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑)
๒.
นักธรรมชั้นโท - เอก
กำหนดสอบวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤศจิกายน และ ๑ - ๒ ธันวาคม ๒๕๕๕
(ตรงกับวันพฤหัสบดี-ศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ แรม ๑ -๒ - ๓
- ๔ ค่ำ เดือน ๑๒
๓.
ธรรมศึกษาทุกชั้น
กำหนดสอบวันจันทร์ ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕
(ตรงกับแรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ สอบ ๑ วัน)
-บ่ายสอบวิชาธรรม วิชาพุทธ และวิชาวินัย ให้เวลาวิชาละ ๕๐ นาที
เริ่มสอบเวลา ๑๓.๐๐ น. ใช้ข้อสอบแบบปรนัยหรือแบบเลือกตอบ
อนึ่ง
ปัญหาสอบธรรม นักธรรมทุกชั้นคงสอบแบบอัตนัยทุกวิชาเหมือนปีที่ผ่านมา
ส่วนธรรมศึกษาทุกชั้นยังคงสอบแบบปรนัยทุกวิชา
ยกเว้นวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
คงสอบแบบอัตนัยอย่างเดิม
ประวัติความเป็นมาการสอบธรรมศึกษา นักธรรมสนามหลวง
การสอบบาลีสนามหลวงนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสอบในทำนองเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ 3 ปีมีการสอบครั้งหนึ่ง
เป็นการ
สอบแบบปากเปล่า มีพระเถราจารย์ผู้ทรงภูมิความรู้เป็นกรรมการสอ
การสอบไล่ปากเปล่าในอดีต
วิธีการสอบไล่ในอดีตคือผู้เข้าสอบเข้าไปแปลคัมภีร์อรรถกถาต่อหน้าพระเถราจารย์
และพระเถราจารย์จะซักถามผู้เข้าสอบไล่ จึงเป็นที่มาของคำว่า ไล่ความรู้ หรือ สอบไล่
วิชาที่สอบแต่ละประโยคนั้นก็จะกำหนดพระสูตรต่างๆ สำหรับแต่ละประโยค
เริ่มตั้งแต่ประโยค 1 ไปจนถึง ประโยค 9 โดยการสอบนั้น จะมีการสอบตั้งแต่ประโยค 1 ขึ้นไป ถ้าสอบประโยค 1
- 2 ได้ แต่สอบประโยค 3 ไม่ได้ ก็ต้องไปเริ่มสอบประโยค 1 ใหม่ เว้นแต่เมื่อสอบได้ประโยค 3 แล้ว
ก็สามารถสอบไล่ไปทีละประโยคหรือหลายประโยคก็ได้
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระภิกษุทุกรูปต้องเล่าเรียนและเข้าสอบบาลีสนามหลวง
ภิกษุรูปใดสอบไล่ได้เป็นเปรียญตั้งแต่ 3 ประโยคแล้ว
ถ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตั้งแต่พระครูสมณศักดิ์ขึ้นไป
เป็นอันหยุดไม่ต้องเข้าสอบบาลีสนามหลวงต่อไปก็ได้ แต่ถ้าสมัครใจจะเข้าแปลต่อก็ได้
ส่วนภิกษุที่ยังไม่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ก็ต้องสอบต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะจบเป็นเปรียญ 9 ประโยค
การเปลี่ยนรูปแบบสอบไล่บาลีมาเป็นข้อเขียน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นในคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ซึ่งเวลานั้นทรงเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติกนิกายได้ทรงกำหนดหลักสูตรของมหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้น
โดยกำหนดให้ผู้เรียน เรียนทั้งหนังสือไทยและบาลีไวยากรณ์ โดยผู้เข้าเรียนในสำนักมหามกุฎราชวิทยาลัย
นี้มีทั้งพระ
ภิกษุ สามเณร และฆราวาส
จึงทำให้การสอบบาลีสนามหลวงในสมัยนั้นแบ่งออกเป็นสองสนาม คือ
สนามที่สอบปากเปล่าแบบเก่า
และสนามที่จัดสอบผู้เล่า
เรียนตามหลักสูตรมหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งใช้วิธีสอบแบบข้อเขียน
และแบ่งการสอบเป็น 3 ชั้น เรียกว่า เปรียญตรี
เทียบคุณวุฒิเสมอเปรียญ 4 แบบเก่า เปรียญโท
เทียบคุณวุฒิเสมอเปรียญ 5 และเปรียญเอกเทียบคุณวุฒิเปรียญ 7
การสอบไล่ตามหลักสูตรมหามกุฎราชวิทยาลัย
คงดำเนินมาจนถึงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้ปรับหลักสูตรการศึกษาบาลีสนามหลวงทั้งหมด
โดยใช้หลักสูตรของมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นหลัก และเลิกการสอบเปรียญ ตรี โท เอก
เปลี่ยนมาเป็นสอบบาลีตั้งแต่ประโยค 1
- 9 ดังในปัจจุบัน
การสอบสนามหลวงในปัจจุบันการสอบสนามหลวงในปัจจุบันนี้แบ่งเป็นสองประเภทคือการสอบบาลีสนามหลวง
และสอบธรรมสนามหลวง
การสอบสนามหลวงแผนกบาลีในระดับชั้นเปรียญตรี (ป.ธ.1-2 ถึง 3) และระดับชั้นเปรียญโทเปรียญแรก
(ป.ธ. 4) ในปัจจุบันนับว่ามีความสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก
คือผู้สมัครสอบไม่ต้องเข้ามาสอบที่ส่วนกลางทั้งหมด แต่ให้มีสนามสอบประจำจังหวัด ๆ
ละหนึ่งแห่งทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เป็นส่วนกลาง
ประโยค 1-2 ถึงประโยค 3 เป็นเปรียญตรี
(กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนต้น) ประโยค 4 ถึงประโยค 6 เป็นเปรียญโท (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย) ประโยค 7 ถึงประโยค 9 เป็นเปรียญเอก
(กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่าปริญญาตรี)
การจัดสอบวัดผลบาลีสนามหลวงในปัจจุบันนั้นแบ่งเป็นสองครั้ง
และครั้งที่สองคือ ประโยค 1-2 ถึง ประโยค 5
ครั้งที่ 1
ตรงกับวันขึ้น 2, 3 ค่ำ เดือน 3 จัดสอบเปรียญธรรม 6- 7 และวันขึ้น 4, 5, 6 ค่ำ เดือน 3 จัดสอบเปรียญธรรม 8-9
การสอบธรรมสนามหลวงในปัจจุบัน
การสอบพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือ การสอบธรรมสนามหลวง แบ่งการสอบออกเป็น 2 ประเภท คือ การสอบ นักธรรม สำหรับพระภิกษุ สามเณร และการสอบ ธรรมศึกษา
สำหรับฆราวาสโดยแบ่งชั้นการศึกษาออกเป็น 3 ระดับนักธรรมตรี, นักธรรมโท, นักธรรมเอก สำหรับพระภิกษุ สามเณร
(ผู้สอบไล่ได้นักธรรมเอกนั้น
กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่าประถมศึกษาตอนปลาย) ธรรมศึกษาตรี, ธรรมศึกษาโท, ธรรมศึกษาเอก สำหรับฆราวาส การจัดสอบวัดผลธรรมสนามหลวงนั้นจัดให้มีการสอบปีละ
2 ครั้ง
ครั้งที่ 2
ตรงกับวันแรม 2 - 5 ค่ำ เดือน 12 จัดสอบนักธรรมชั้นโทและเอก สำหรับพระภิกษุ สามเณร
สำหรับธรรมศึกษานั้นจัดสอบวันเดียวคือวันแรม 5 ค่ำ เดือน 12
การศึกษาของคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน
๑.
หลักสูตรแผนกธรรม-บาลี (น.ธ.ตรี,โท,เอก ประกาศใช้ พ.ศ.๒๔๔๕, เปรียญธรรม ๑-๙ ประโยคแบบ ปัจจุบันประกาศใช้ พ.ศ.๒๔๓๙) ใช้เวลาเรียน ๑๐ ปี จบปริญญาตรี
หรือจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค
๒. หลักสูตรพระปริยัติธรรมสายสามัญ ประกาศใช้ พ.ศ.๒๕๑๔ โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ม.๑-๖) จบแล้ว
๒. หลักสูตรพระปริยัติธรรมสายสามัญ ประกาศใช้ พ.ศ.๒๕๑๔ โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ม.๑-๖) จบแล้ว
ต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ ๒
แห่ง คือ
-มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย
(ร.๕ ทรงสถาปนาเมื่อ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ มีวิทยาเขตทั่ว ประเทศ ๗ แห่ง) และ
-มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ร.๕ ทรงสถาปนาเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ มีวิทยาเขตทั่ว ประเทศ ๑๐ แห่ง)
-มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ร.๕ ทรงสถาปนาเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ มีวิทยาเขตทั่ว ประเทศ ๑๐ แห่ง)
ใช้เวลาเรียน๑๐ ปี จบปริญญาตรี
จากนั้น ศึกษาต่อระดับปริญญาโท อีก ๒ ปี ในสถาบันการศึกษาเดิมหรือมหาวิทยาลัยของ รัฐและเอกชนได้ทั้งในและต่างประเทศ อาทิอินเดีย, ศรีลังกา, พม่า
นอกเหนือจากการศึกษา ๒ ประเภทที่คณะสงฆ์ได้จัดไว้แล้ว ยังมีการศึกษา กลุ่มพระ คัมภีร์สัททาวิเสส หรือคัมภีร์ไวยากรณ์โบราณ อันเป็นวิชาพื้นฐาน เพื่อความเชี่ยวชาญในพระ ไตรปิฏก ที่มีมาแต่โบราณกาล (เมื่อคณะสงฆ์ปรับปรุงการศึกษาใหม่ตามข้อ ๑ และ ๒ ข้างต้น ทำให้หยุดการศึกษาคัมภีร์เหล่านี้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๖)
กลุ่มพระคัมภีร์สัททาวิเสส มีรายชื่อที่ปรากฎในหอสมุดแห่งชาติจำนวน ๑๕๓ คัมภีร์ แยก เป็น ๔ กลุ่มดังนี้
-กลุ่มคัมภีร์ไวยากรณ์ เช่น คัมภีร์กัจจายนะ (ต่อมาเรียกมูลกัจจายน์), ปทรูปสิทธิ โมค คัลลานะ, สัททนีติ, สัททสังคหะ
-กลุ่มคัมภีร์พจนานุกรม หรือ คัมภีร์นิฆัณฑุ เช่น อภิธานัปปทีปิกา
-กลุ่มคัมภีร์ฉันทลักษณ์ เช่น คัมภีร์วุตโตทัย
-กลุ่มคัมภีร์เกฏุภะ (อลังการ) เช่น คัมภีร์สุโพธาลังการ
จากนั้น ศึกษาต่อระดับปริญญาโท อีก ๒ ปี ในสถาบันการศึกษาเดิมหรือมหาวิทยาลัยของ รัฐและเอกชนได้ทั้งในและต่างประเทศ อาทิอินเดีย, ศรีลังกา, พม่า
นอกเหนือจากการศึกษา ๒ ประเภทที่คณะสงฆ์ได้จัดไว้แล้ว ยังมีการศึกษา กลุ่มพระ คัมภีร์สัททาวิเสส หรือคัมภีร์ไวยากรณ์โบราณ อันเป็นวิชาพื้นฐาน เพื่อความเชี่ยวชาญในพระ ไตรปิฏก ที่มีมาแต่โบราณกาล (เมื่อคณะสงฆ์ปรับปรุงการศึกษาใหม่ตามข้อ ๑ และ ๒ ข้างต้น ทำให้หยุดการศึกษาคัมภีร์เหล่านี้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๖)
กลุ่มพระคัมภีร์สัททาวิเสส มีรายชื่อที่ปรากฎในหอสมุดแห่งชาติจำนวน ๑๕๓ คัมภีร์ แยก เป็น ๔ กลุ่มดังนี้
-กลุ่มคัมภีร์ไวยากรณ์ เช่น คัมภีร์กัจจายนะ (ต่อมาเรียกมูลกัจจายน์), ปทรูปสิทธิ โมค คัลลานะ, สัททนีติ, สัททสังคหะ
-กลุ่มคัมภีร์พจนานุกรม หรือ คัมภีร์นิฆัณฑุ เช่น อภิธานัปปทีปิกา
-กลุ่มคัมภีร์ฉันทลักษณ์ เช่น คัมภีร์วุตโตทัย
-กลุ่มคัมภีร์เกฏุภะ (อลังการ) เช่น คัมภีร์สุโพธาลังการ
-วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นครปฐม
-วัดท่ามะโอ จ.ลำปาง
-วัดมหาธาตุ คณะ ๒๕ กรุงเทพฯ
-วัดมหาธาตุ คณะ ๒๕ กรุงเทพฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น